สถานะและบทบาทของสตรีไทยในยุคปัจจุบัน
บทบาทของสตรีไทยในยุคปัจจุบัน
ฑิฆัมพร อาญาจงสวัสดิ์ 5903682226
ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่บทบาทของสตรีเพศถูกจำกัดให้คงอยู่แต่ภายในบริเวณบ้านนานนับหลายร้อยปี ตั้งแต่สมัยสุโขทัยเป็นต้นมาจนถึงต้นสมัยรัตนโกสินทร์ สตรีไม่มีโอกาสที่จะแสดงออกซึ่งความสามารถทางด้านอื่น แต่เมื่อล่วงมาถึงช่วงระยะเวลาสมัยรัตนโกสินทร์ สตรีไทยได้รับการศึกษา และมีสตรีหัวก้าวหน้ารวมตัวกันเรียกร้องสิทธิความเสมอภาคให้แก่สตรีไทยทั้งมวลมาโดยตลอด โดยพยายามต่อสู้ เรียกร้องให้ทางรัฐบาลและฝ่ายการปกครองดำเนินการประกาศใช้นโยบายที่จะแก้ไขปัญหาต่างๆที่สตรีไทยประสบทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง จนสามารถบรรจุสิทธิของสตรีเข้าไปในรัฐธรรมนูญได้ และยกระดับคุณภาพชีวิตของสตรีไทยให้ดียิ่งขึ้น โดยในปัจจุบันบทบาทของสตรีไทยมีความสำคัญต่อประเทศไทยอย่างมีนัยยะสำคัญ บทบาทสำคัญที่จะกล่าวถึงมีอยู่สามประการคือ บทบาททางด้านสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง
บทบาททางด้านสังคม
ในอดีตบทบาทของหญิงชายแยกกันอย่างชัดเจน ผู้หญิงมีบทบาทสำคัญต่อครอบครัว ดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของสมาชิกในครอบครัว ต่างจากผู้ชายซึ่งมีบทบาทสำคัญนอกบ้าน บทบาทที่ต่างกันชัดเจนเช่นนี้ก่อให้เกิดภาพลักษณ์เฉพาะของผู้หญิงและผู้ชายในทางตรงกันข้าม ส่งผลให้ตัวบทกฎหมายมีความไม่เท่าเทียม ทำให้ผู้หญิงไทยต้องต่อสู้เพื่อสิทธิทางกฎหมาย จนประสบความสำเร็จขั้นแรกในสมัยของรัฐบาล นายสัญญา ธรรมศักดิ์ โดยประกาศใช้เป็นรัฐธรรมนูญฉบับลงวันที่ 7 ตุลาคม 2518 บัญญัติไว้อย่างชัดเจนในมาตรา 28 ว่า “บุคคลย่อมมีสิทธิเสรีภาพใต้บังคับบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน การจำกัดสิทธิและเสรีภาพอันเป็นการฝ่าฝืนเจตนารมณ์ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญจะกระทำมิได้” (สหพันธ์สมาคมสตรีนักธุรกิจและวิชาชีพ, ๒๕๒๐)
ปัจจุบันสตรีไทยได้รับการยอมรับจากสังคมให้สามารถเข้าทำงาน และดำรงตำแหน่งในลักษณะที่เพศชายทำได้ เช่นการเข้ารับราชการ การเป็นผู้บริหารระดับสูงขององค์กร การสามารถรับยศขั้นสูงสุดทางการทหาร การดำรงตำแหน่งทางตุลาการ หรือบทบาทสำคัญประดับประเทศเช่น นายกรัฐมนตรี เป็นต้น ผู้หญิงได้รับอนุญาตให้เข้ารับการศึกษาได้ทัดเทียมผู้ชาย มีช่องทางที่ไว้แสดงศักยภาพมากขึ้น ดังกล่าวเหล่านี้ทำให้บทบาทของหญิงไทยไม่ใช่แค่เพียงแม่ ภรรยา หรือว่าลูกสาวเท่านั้น หลายคนเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว เป็นเสาหลักของครอบครัว หรือแม้กระทั่งการดำรงตนเป็นโสด หรือไม่เปลี่ยนคำนำหน้าชื่อจาก “นางสาว” เป็น”นาง” การใช้นามสกุลเดิมเมื่อสมรสแล้ว รวมทั้งการแสดงออกทางเพศ และการแสดงความคิดเห็นต่างๆได้เท่าเทียมชาย โดยที่พวกเธอจะไม่ถูกด่าทอจากสังคมและเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามกฎหมาย สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ของการได้รับการยอมรับจากสังคมของผู้หญิงไทยในปัจจุบัน ซึ่งเรียกว่า “การลดค่านิยมเชิงซ้อน” ค่านิยมเชิงซ้อนคือ การที่ผู้ชายประพฤติปฏิบัติอย่างหนึ่งสังคมไม่ตำหนิ ถ้าผู้หญิงประพฤติปฏิบัติในสิ่งเดียวกันสังคมจะตำหนิ (วันทนี วาสิกะสิน และสุนีย์ เหมาะประสิทธิ์, ๒๕๔๑) เช่นสังคมมักด่าว่าผู้หญิงที่นอกใจสามี มากกว่าสามีที่นอกใจภรรยา การประณามผู้หญิงที่ถูกข่มขืนว่าไม่ระวังตัว การตั้งท้องโดยไม่ได้แต่งงานว่าใจง่าย แต่ในปัจจุบันสังคมไม่ได้โทษไปที่ฝ่ายหญิงอย่างเดียว แต่จะดูปัจจัยต่างๆประกอบด้วย
ครอบครัวไทยในยุคโลกาภิวัตน์นี้ไม่ได้คาดหวังว่าลูกสาวจะต้องคอยดูแลพ่อแม่หรือรับภาระทางด้านงานบ้านมากกว่าลูกชาย บทบาทของสตรีไทยในข้อนี้จึงลดลงกว่าแต่ก่อนมาก แต่ ณ วันนี้และวันหน้า สังคมเปลี่ยนแปลง บทบาทของผู้หญิงก็เช่นกัน ผู้หญิงมีศักยภาพและความสามารถที่จะก้าวเข้ามามีบทบาทที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าผู้ชาย
บทบาททางด้านเศรษฐกิจ
สตรีไทยในปัจจุบันมีโอกาสทางการศึกษาทัดเทียมผู้ชาย ทำให้สถานภาพทางเศรษฐกิจของผู้หญิงไทยในปัจจุบันมีความมั่นคง หลายๆกรณีจึงไม่ต้องพึ่งพาอาศัยผู้ชายด้านการเงิน จึงเป็นการเพิ่มโอกาสในการเลือกทำงานได้ตามความถนัดและมีความพอใจในงานสูง หลายอาชีพที่ผู้หญิงดำรงตำแหน่งมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจเช่น นายกรัฐมนตรี สภาผู้แทนราษฎร ฝ่ายบริหารทางด้านการเงินในองค์กรภาครัฐและเอกชน และเจ้าของธุรกิจและอุตสาหกรรมต่างๆภายในและภายนอกประเทศ
ผู้หญิงเป็นพลังสำคัญในการสร้างสรรค์สังคมและการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ ครึ่งหนึ่งของกำลังแรงงานของประเทศไทยเป็นผู้หญิง คงไม่ผิดหากจะกล่าวว่าการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลผลิตมาจากการขยายตัวของอุตสาหกรรมการส่งออกและการท่องเที่ยวอันทำรายได้ให้ให้แก่ประเทศอย่างมหาศาล ผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จส่วนนี้คือผู้หญิง ซึ่งเป็นแรงงานหลัก มีจำนวนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80 ของแรงงานในอุตสาหกรรมดังกล่าว (สุธีรา ทอมสัน และเมทนี พงษ์เวช, ๒๕๓๘)
แรงงานสตรีมีบทบาทสำคัญยิ่งในการพัฒนาเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม แรงงานหญิงมีจำนวนมากกว่าแรงงานชายถึง 4เท่า ในอุตสาหกรรมการส่งออกที่มีมูลค่าสูงสุดของประเทศ ซึ่งได้แก่ สิ่งทอและเสื้อผ้าสำเร็จรูป ชิ้นส่วนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และแผงวงจรไฟฟ้า อาหารสดแช่แข็งและอาหารกระป๋อง
อัญมณีและเครื่องประดับ รองเท้าและเครื่องหนัง เช่นในปี2535 สินค้าเหล่านี้สร้างรายได้ให้กับประเทศเกือบ300,000 ล้านบาท ส่วนรายได้จากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวนั้นก็มีมูลค่ากว่า 100,000 ล้านบาท เมื่อรวมเข้าด้วยกันแล้วนั้น มีมูลค่าใกล้เคียงกับงบประมาณรายจ่ายของประเทศในปีงบประมาณนั้น
บทบาททางด้านการเมือง
ในอดีตผู้หญิงไทยไม่มีส่วนร่วมทางการเมืองเลยไม่ว่าจะด้วยวิธีการใด จุดเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงคือ เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 ทำให้ผู้หญิงและผู้ชายได้มีโอกาสลงรับสมัครเลือกตั้งเพื่อทำงานด้านการเมือง (สำนักงานเลขาธิการรัฐสภา, ๒๕๓๐) ส่งผลให้ให้ผู้หญิงก้าวเข้าไปมีบทบาททางด้านการเมืองอย่างเต็มตัว และในปี 2554 ประเทศไทยได้มีนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก คือคุณ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รวมทั้งที่นั่งในสภามีจำนวนสตรีเพิ่มมากขึ้น (ถนอมศักดิ์ จิรายุสวัสดิ์,๒๕๕๕) การมีส่วนรณรงค์เกี่ยวกับการเมืองและการเลือกตั้ง การใช้สิทธิในการลงคะแนนเสียง ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงความสนใจและกระตือรือร้นที่ผู้หญิงมีต่อการเมือง ข้อมูลจากการเลือกตั้งในเดือนมีนาคม 2535 ที่ได้มีการแสดงเพศผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียง ยืนยันว่าผู้หญิงไปลงคะแนนเสียงมากกว่าเพศชายถึง 300,000 คน (ทอมสัน และทอมสัน,๒๕๓๖) และการเลือกตั้งในปี 2538 ผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงจำนวนทั้งสิ้น 31,211,605 คน โดยมีผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย 600,000 คน (กรมการปกครอง,๒๕๓๘) จำนวนผู้หญิงที่สูงกว่าผู้ชายนั้น ส่วนหนึ่งเนื่องมาจากการที่ผู้หญิงไทยมีอายุเฉลี่ยสูงกว่าผู้ชายไทย 5 ปี นอกจากนั้นความสนใจทางการเมืองของผู้หญิง อาจเห็นได้จากการที่ผู้หญิงมีส่วนร่วมในการเสวนาหรือแสดงความเห็นที่เกี่ยวข้องกับการเมืองผ่านทางสื่อออนไลน์ เครือข่ายทางสังคม วิทยุและโทรทัศน์ในจำนวนที่ไม่แตกต่างจากผู้ชาย
โดยสรุป บทบาทของสตรีในทางการบริหารและการปกครองจึงแบ่งได้เป็น 2 ระดับ คือ (สภาสตรีแห่งชาติ, ๒๕๑๙)
1. บทบาทในฐานะเป็นผู้มีตำแหน่งเป็นผู้บริหารกิจการโดยตรง เช่น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นนายกรัฐมนตรีหรือดำรงตำแหน่งอื่นๆทางการเมือง สตรีลักษณะนี้ เรียกว่า “นักการเมืองสตรี”
2. บทบาทในฐานะที่มีอิทธิพลหรือมีพลังสะท้อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการบริหาร การปกครองประเทศ เช่นการรวมกลุ่มอิทธิพลทุกรูปแบบที่รู้ได้ว่าผลประโยชน์ของงานคืออะไร และรู้จักเรียกร้องให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์นั้นตามกระบวนการทางการเมือง หรือถ้าไม่มองผลประโยชน์ส่วนตน ก็รู้จักมองไกลออกไปว่าชาติบ้านเมืองจะได้รับการพัฒนาปรับปรุงแก้ไขทางใดบ้าง สตรีประเภทนี้เรียกว่า “สตรีที่มีความสนใจทางการเมือง”
ปัจจุบันเป็นที่ยอมรับแล้วว่าสตรีไทยมีบทบาทยิ่งขึ้น ทั้งในทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง สตรีเริ่มมองเห็นคุณค่าของตัวเองในการเป็นสมาชิกหนึ่งในสังคมที่มีส่วนต้องรับผิดชอบสังคมเท่าเทียมบุรุษ นอกจากนี้สังคมทั่วไปก็หันมาสนใจบทบาทสตรีมากขึ้น เมื่อพวกเขาเหล่านั้นได้เห็นความสำคัญของสตรีดังกล่าว และความสนใจนี้มิได้จำกัดอยู่เฉพาะสตรีในแวดวงสังคมชั้นสูงเท่านั้น แต่กระจายไปถึงสตรีในชนบทซึ่งมีความสำคัญเท่าเทียมกันด้วย ซีโมน เดอ โบวัวร์ (Simone De Beauvoir) ได้กล่าวว่า “ระหว่างสตรีกับบุรุษนั้น มิได้หมายความว่าสตรีจะมีบทบาทในสังคมเป็นรองบุรุษเสมอไป และในทางตรงกันข้ามสตรีที่มีบทบาทเทียมบ่า เทียมไหล่บุรุษก็มิได้หมายความว่าความเป็นสตรีจะต้องสูญสิ้นไปพร้อมกับการมีบทบาทเท่านั้น” … (Simone De Beauvior, 1953)
บรรณานุกรม
กรมการปกครอง. (๒๕๓๘). สถิติเกี่ยวกับผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง. กรุงเทพฯ: กรมการปกครอง.
เครี่ ริคเตอร์ และนภาภรณ์ หะวานนท์. (๒๕๓๘). การมีส่วนร่วมเชิงเศรษฐกิจของผู้หญิงในครอบครัวไทย :
นัยยะที่มีต่อการพัฒนาประเทศและสวัสดิการสังคม. กรุงเทพฯ: เจนเดอร์เพรส.
ถนอมศักดิ์ จิรายุสวัสดิ์. (๒๕๕๕). สามหญิงแกร่งแห่งความเป็นผู้นำ. กรุงเทพฯ: รุ่งเรืองสาส์นการพิมพ์.
ทอมสัน และทอมสัน. (๒๕๓๖). ผู้หญิงกับการเมือง: ทางเลือกสำหรับช่วงทศวรรษ 2533-2543.กรุงเทพฯ:
สถาบันวิจัยบทบาทหญิงชายและการพัฒนา.
วันทนีย์ วาสิกะสิน และสุนีย์ เหมาะประสิทธ์. (๒๕๔๑). สังคมไทยคาดหวังอย่างไรกับผู้หญิง. ปทุมฯ:
สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
สภาสตรีแห่งชาติ. (๒๕๑๙). เรื่องสตรีไทย. กรุงเทพฯ: วิทยากร.
สหพันธ์สมาคมสตรีนักธุรกิจและวิชาชีพ. (๒๕๒๐). โฉมหน้าสตรียุคใหม่. กรุงเทพฯ: กรุงเทพการพิมพ์.
สุธีรา ทอมสัน และเมทินี พงษ์เวช. (๒๕๓๘). ประเด็นสตรีบนเวทีการเมืองไทย. กรุงเทพฯ: สถาบันวิจัย
บทบาทและการพัฒนา.
________. (๒๕๓๘). ผู้หญิงไทย : สถานภาพและบทบาทที่เปลี่ยนแปลง.
กรุงเทพฯ: สถาบันวิจัยบทบาทและการพัฒนา.
สำนักงานเลขาธิการรัฐสภา. (๒๕๓๕). รายชื่อสมาชิกที่ได้รับการแต่งตั้ง. กรุงเทพฯ : สำนักงานเลขาธิการ
รัฐสภา.
อรทัย ก๊กผล และโสภารัตน์ สาธุวงษ์. (๒๕๓๙). รายงานการวิจัยเรื่องสตรีกับการพัฒนาการเมือง. ปทุมฯ:
สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
Simone De Beauvoir. (1953). Second sex. New York : Knopf.
ฑิฆัมพร อาญาจงสวัสดิ์ 5903682226
ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่บทบาทของสตรีเพศถูกจำกัดให้คงอยู่แต่ภายในบริเวณบ้านนานนับหลายร้อยปี ตั้งแต่สมัยสุโขทัยเป็นต้นมาจนถึงต้นสมัยรัตนโกสินทร์ สตรีไม่มีโอกาสที่จะแสดงออกซึ่งความสามารถทางด้านอื่น แต่เมื่อล่วงมาถึงช่วงระยะเวลาสมัยรัตนโกสินทร์ สตรีไทยได้รับการศึกษา และมีสตรีหัวก้าวหน้ารวมตัวกันเรียกร้องสิทธิความเสมอภาคให้แก่สตรีไทยทั้งมวลมาโดยตลอด โดยพยายามต่อสู้ เรียกร้องให้ทางรัฐบาลและฝ่ายการปกครองดำเนินการประกาศใช้นโยบายที่จะแก้ไขปัญหาต่างๆที่สตรีไทยประสบทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง จนสามารถบรรจุสิทธิของสตรีเข้าไปในรัฐธรรมนูญได้ และยกระดับคุณภาพชีวิตของสตรีไทยให้ดียิ่งขึ้น โดยในปัจจุบันบทบาทของสตรีไทยมีความสำคัญต่อประเทศไทยอย่างมีนัยยะสำคัญ บทบาทสำคัญที่จะกล่าวถึงมีอยู่สามประการคือ บทบาททางด้านสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง
บทบาททางด้านสังคม
ในอดีตบทบาทของหญิงชายแยกกันอย่างชัดเจน ผู้หญิงมีบทบาทสำคัญต่อครอบครัว ดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของสมาชิกในครอบครัว ต่างจากผู้ชายซึ่งมีบทบาทสำคัญนอกบ้าน บทบาทที่ต่างกันชัดเจนเช่นนี้ก่อให้เกิดภาพลักษณ์เฉพาะของผู้หญิงและผู้ชายในทางตรงกันข้าม ส่งผลให้ตัวบทกฎหมายมีความไม่เท่าเทียม ทำให้ผู้หญิงไทยต้องต่อสู้เพื่อสิทธิทางกฎหมาย จนประสบความสำเร็จขั้นแรกในสมัยของรัฐบาล นายสัญญา ธรรมศักดิ์ โดยประกาศใช้เป็นรัฐธรรมนูญฉบับลงวันที่ 7 ตุลาคม 2518 บัญญัติไว้อย่างชัดเจนในมาตรา 28 ว่า “บุคคลย่อมมีสิทธิเสรีภาพใต้บังคับบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน การจำกัดสิทธิและเสรีภาพอันเป็นการฝ่าฝืนเจตนารมณ์ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญจะกระทำมิได้” (สหพันธ์สมาคมสตรีนักธุรกิจและวิชาชีพ, ๒๕๒๐)
ปัจจุบันสตรีไทยได้รับการยอมรับจากสังคมให้สามารถเข้าทำงาน และดำรงตำแหน่งในลักษณะที่เพศชายทำได้ เช่นการเข้ารับราชการ การเป็นผู้บริหารระดับสูงขององค์กร การสามารถรับยศขั้นสูงสุดทางการทหาร การดำรงตำแหน่งทางตุลาการ หรือบทบาทสำคัญประดับประเทศเช่น นายกรัฐมนตรี เป็นต้น ผู้หญิงได้รับอนุญาตให้เข้ารับการศึกษาได้ทัดเทียมผู้ชาย มีช่องทางที่ไว้แสดงศักยภาพมากขึ้น ดังกล่าวเหล่านี้ทำให้บทบาทของหญิงไทยไม่ใช่แค่เพียงแม่ ภรรยา หรือว่าลูกสาวเท่านั้น หลายคนเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว เป็นเสาหลักของครอบครัว หรือแม้กระทั่งการดำรงตนเป็นโสด หรือไม่เปลี่ยนคำนำหน้าชื่อจาก “นางสาว” เป็น”นาง” การใช้นามสกุลเดิมเมื่อสมรสแล้ว รวมทั้งการแสดงออกทางเพศ และการแสดงความคิดเห็นต่างๆได้เท่าเทียมชาย โดยที่พวกเธอจะไม่ถูกด่าทอจากสังคมและเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามกฎหมาย สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ของการได้รับการยอมรับจากสังคมของผู้หญิงไทยในปัจจุบัน ซึ่งเรียกว่า “การลดค่านิยมเชิงซ้อน” ค่านิยมเชิงซ้อนคือ การที่ผู้ชายประพฤติปฏิบัติอย่างหนึ่งสังคมไม่ตำหนิ ถ้าผู้หญิงประพฤติปฏิบัติในสิ่งเดียวกันสังคมจะตำหนิ (วันทนี วาสิกะสิน และสุนีย์ เหมาะประสิทธิ์, ๒๕๔๑) เช่นสังคมมักด่าว่าผู้หญิงที่นอกใจสามี มากกว่าสามีที่นอกใจภรรยา การประณามผู้หญิงที่ถูกข่มขืนว่าไม่ระวังตัว การตั้งท้องโดยไม่ได้แต่งงานว่าใจง่าย แต่ในปัจจุบันสังคมไม่ได้โทษไปที่ฝ่ายหญิงอย่างเดียว แต่จะดูปัจจัยต่างๆประกอบด้วย
ครอบครัวไทยในยุคโลกาภิวัตน์นี้ไม่ได้คาดหวังว่าลูกสาวจะต้องคอยดูแลพ่อแม่หรือรับภาระทางด้านงานบ้านมากกว่าลูกชาย บทบาทของสตรีไทยในข้อนี้จึงลดลงกว่าแต่ก่อนมาก แต่ ณ วันนี้และวันหน้า สังคมเปลี่ยนแปลง บทบาทของผู้หญิงก็เช่นกัน ผู้หญิงมีศักยภาพและความสามารถที่จะก้าวเข้ามามีบทบาทที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าผู้ชาย
บทบาททางด้านเศรษฐกิจ
สตรีไทยในปัจจุบันมีโอกาสทางการศึกษาทัดเทียมผู้ชาย ทำให้สถานภาพทางเศรษฐกิจของผู้หญิงไทยในปัจจุบันมีความมั่นคง หลายๆกรณีจึงไม่ต้องพึ่งพาอาศัยผู้ชายด้านการเงิน จึงเป็นการเพิ่มโอกาสในการเลือกทำงานได้ตามความถนัดและมีความพอใจในงานสูง หลายอาชีพที่ผู้หญิงดำรงตำแหน่งมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจเช่น นายกรัฐมนตรี สภาผู้แทนราษฎร ฝ่ายบริหารทางด้านการเงินในองค์กรภาครัฐและเอกชน และเจ้าของธุรกิจและอุตสาหกรรมต่างๆภายในและภายนอกประเทศ
ผู้หญิงเป็นพลังสำคัญในการสร้างสรรค์สังคมและการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ ครึ่งหนึ่งของกำลังแรงงานของประเทศไทยเป็นผู้หญิง คงไม่ผิดหากจะกล่าวว่าการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลผลิตมาจากการขยายตัวของอุตสาหกรรมการส่งออกและการท่องเที่ยวอันทำรายได้ให้ให้แก่ประเทศอย่างมหาศาล ผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จส่วนนี้คือผู้หญิง ซึ่งเป็นแรงงานหลัก มีจำนวนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80 ของแรงงานในอุตสาหกรรมดังกล่าว (สุธีรา ทอมสัน และเมทนี พงษ์เวช, ๒๕๓๘)
แรงงานสตรีมีบทบาทสำคัญยิ่งในการพัฒนาเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม แรงงานหญิงมีจำนวนมากกว่าแรงงานชายถึง 4เท่า ในอุตสาหกรรมการส่งออกที่มีมูลค่าสูงสุดของประเทศ ซึ่งได้แก่ สิ่งทอและเสื้อผ้าสำเร็จรูป ชิ้นส่วนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และแผงวงจรไฟฟ้า อาหารสดแช่แข็งและอาหารกระป๋อง
อัญมณีและเครื่องประดับ รองเท้าและเครื่องหนัง เช่นในปี2535 สินค้าเหล่านี้สร้างรายได้ให้กับประเทศเกือบ300,000 ล้านบาท ส่วนรายได้จากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวนั้นก็มีมูลค่ากว่า 100,000 ล้านบาท เมื่อรวมเข้าด้วยกันแล้วนั้น มีมูลค่าใกล้เคียงกับงบประมาณรายจ่ายของประเทศในปีงบประมาณนั้น
บทบาททางด้านการเมือง
ในอดีตผู้หญิงไทยไม่มีส่วนร่วมทางการเมืองเลยไม่ว่าจะด้วยวิธีการใด จุดเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงคือ เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 ทำให้ผู้หญิงและผู้ชายได้มีโอกาสลงรับสมัครเลือกตั้งเพื่อทำงานด้านการเมือง (สำนักงานเลขาธิการรัฐสภา, ๒๕๓๐) ส่งผลให้ให้ผู้หญิงก้าวเข้าไปมีบทบาททางด้านการเมืองอย่างเต็มตัว และในปี 2554 ประเทศไทยได้มีนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก คือคุณ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รวมทั้งที่นั่งในสภามีจำนวนสตรีเพิ่มมากขึ้น (ถนอมศักดิ์ จิรายุสวัสดิ์,๒๕๕๕) การมีส่วนรณรงค์เกี่ยวกับการเมืองและการเลือกตั้ง การใช้สิทธิในการลงคะแนนเสียง ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงความสนใจและกระตือรือร้นที่ผู้หญิงมีต่อการเมือง ข้อมูลจากการเลือกตั้งในเดือนมีนาคม 2535 ที่ได้มีการแสดงเพศผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียง ยืนยันว่าผู้หญิงไปลงคะแนนเสียงมากกว่าเพศชายถึง 300,000 คน (ทอมสัน และทอมสัน,๒๕๓๖) และการเลือกตั้งในปี 2538 ผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงจำนวนทั้งสิ้น 31,211,605 คน โดยมีผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย 600,000 คน (กรมการปกครอง,๒๕๓๘) จำนวนผู้หญิงที่สูงกว่าผู้ชายนั้น ส่วนหนึ่งเนื่องมาจากการที่ผู้หญิงไทยมีอายุเฉลี่ยสูงกว่าผู้ชายไทย 5 ปี นอกจากนั้นความสนใจทางการเมืองของผู้หญิง อาจเห็นได้จากการที่ผู้หญิงมีส่วนร่วมในการเสวนาหรือแสดงความเห็นที่เกี่ยวข้องกับการเมืองผ่านทางสื่อออนไลน์ เครือข่ายทางสังคม วิทยุและโทรทัศน์ในจำนวนที่ไม่แตกต่างจากผู้ชาย
โดยสรุป บทบาทของสตรีในทางการบริหารและการปกครองจึงแบ่งได้เป็น 2 ระดับ คือ (สภาสตรีแห่งชาติ, ๒๕๑๙)
1. บทบาทในฐานะเป็นผู้มีตำแหน่งเป็นผู้บริหารกิจการโดยตรง เช่น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นนายกรัฐมนตรีหรือดำรงตำแหน่งอื่นๆทางการเมือง สตรีลักษณะนี้ เรียกว่า “นักการเมืองสตรี”
2. บทบาทในฐานะที่มีอิทธิพลหรือมีพลังสะท้อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการบริหาร การปกครองประเทศ เช่นการรวมกลุ่มอิทธิพลทุกรูปแบบที่รู้ได้ว่าผลประโยชน์ของงานคืออะไร และรู้จักเรียกร้องให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์นั้นตามกระบวนการทางการเมือง หรือถ้าไม่มองผลประโยชน์ส่วนตน ก็รู้จักมองไกลออกไปว่าชาติบ้านเมืองจะได้รับการพัฒนาปรับปรุงแก้ไขทางใดบ้าง สตรีประเภทนี้เรียกว่า “สตรีที่มีความสนใจทางการเมือง”
ปัจจุบันเป็นที่ยอมรับแล้วว่าสตรีไทยมีบทบาทยิ่งขึ้น ทั้งในทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง สตรีเริ่มมองเห็นคุณค่าของตัวเองในการเป็นสมาชิกหนึ่งในสังคมที่มีส่วนต้องรับผิดชอบสังคมเท่าเทียมบุรุษ นอกจากนี้สังคมทั่วไปก็หันมาสนใจบทบาทสตรีมากขึ้น เมื่อพวกเขาเหล่านั้นได้เห็นความสำคัญของสตรีดังกล่าว และความสนใจนี้มิได้จำกัดอยู่เฉพาะสตรีในแวดวงสังคมชั้นสูงเท่านั้น แต่กระจายไปถึงสตรีในชนบทซึ่งมีความสำคัญเท่าเทียมกันด้วย ซีโมน เดอ โบวัวร์ (Simone De Beauvoir) ได้กล่าวว่า “ระหว่างสตรีกับบุรุษนั้น มิได้หมายความว่าสตรีจะมีบทบาทในสังคมเป็นรองบุรุษเสมอไป และในทางตรงกันข้ามสตรีที่มีบทบาทเทียมบ่า เทียมไหล่บุรุษก็มิได้หมายความว่าความเป็นสตรีจะต้องสูญสิ้นไปพร้อมกับการมีบทบาทเท่านั้น” … (Simone De Beauvior, 1953)
บรรณานุกรม
กรมการปกครอง. (๒๕๓๘). สถิติเกี่ยวกับผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง. กรุงเทพฯ: กรมการปกครอง.
เครี่ ริคเตอร์ และนภาภรณ์ หะวานนท์. (๒๕๓๘). การมีส่วนร่วมเชิงเศรษฐกิจของผู้หญิงในครอบครัวไทย :
นัยยะที่มีต่อการพัฒนาประเทศและสวัสดิการสังคม. กรุงเทพฯ: เจนเดอร์เพรส.
ถนอมศักดิ์ จิรายุสวัสดิ์. (๒๕๕๕). สามหญิงแกร่งแห่งความเป็นผู้นำ. กรุงเทพฯ: รุ่งเรืองสาส์นการพิมพ์.
ทอมสัน และทอมสัน. (๒๕๓๖). ผู้หญิงกับการเมือง: ทางเลือกสำหรับช่วงทศวรรษ 2533-2543.กรุงเทพฯ:
สถาบันวิจัยบทบาทหญิงชายและการพัฒนา.
วันทนีย์ วาสิกะสิน และสุนีย์ เหมาะประสิทธ์. (๒๕๔๑). สังคมไทยคาดหวังอย่างไรกับผู้หญิง. ปทุมฯ:
สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
สภาสตรีแห่งชาติ. (๒๕๑๙). เรื่องสตรีไทย. กรุงเทพฯ: วิทยากร.
สหพันธ์สมาคมสตรีนักธุรกิจและวิชาชีพ. (๒๕๒๐). โฉมหน้าสตรียุคใหม่. กรุงเทพฯ: กรุงเทพการพิมพ์.
สุธีรา ทอมสัน และเมทินี พงษ์เวช. (๒๕๓๘). ประเด็นสตรีบนเวทีการเมืองไทย. กรุงเทพฯ: สถาบันวิจัย
บทบาทและการพัฒนา.
________. (๒๕๓๘). ผู้หญิงไทย : สถานภาพและบทบาทที่เปลี่ยนแปลง.
กรุงเทพฯ: สถาบันวิจัยบทบาทและการพัฒนา.
สำนักงานเลขาธิการรัฐสภา. (๒๕๓๕). รายชื่อสมาชิกที่ได้รับการแต่งตั้ง. กรุงเทพฯ : สำนักงานเลขาธิการ
รัฐสภา.
อรทัย ก๊กผล และโสภารัตน์ สาธุวงษ์. (๒๕๓๙). รายงานการวิจัยเรื่องสตรีกับการพัฒนาการเมือง. ปทุมฯ:
สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
Simone De Beauvoir. (1953). Second sex. New York : Knopf.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น